เส้นทางชีวิตสู่รัสเซีย (ทุนรัฐบาลรัสเซีย สาขารัฐศาสตร์ ปริญญาโท) – ดาวุด เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ในทุกๆความผิดหวังย่อมมีสิ่งที่สมหวังรออยู่เสมอสำหรับผม รัสเซียกำลังรอผมอยู่
ก่อนอื่นก็ต้องสวัสดีพี่น้องทุกคนที่สนใจประเทศรัสเซียนะครับและก็ขอขอบคุณน้องภูด้วยที่ให้โอกาสพี่ได้มาแบ่งปันประสบการณ์ ผมชื่อ อดุลย์ กำไลทอง หรือ ดาวุดแต่เพื่อนๆเรียกวุดนะครับบ้านอยู่ภูเก็ต ตอนนี้ก็จบปริญญาโทเป็นมหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คณะรัฐศาสตร์ สาขาการเมืองระหว่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับผมเริ่มรู้จักรัสเซียครั้งแรกก็ตอนอยู่ ม.ปลายเพราะเป็นประเทศหนึ่งที่ต้องเรียนในวิชาสังคมเพื่อสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ในที่สุดก็จับพลัดจับผลูมาเรียนรัสเซียได้โดยแบบไม่ตั้งใจและทุกวันนี้ก็ยังงงอยู่เหมือนกันว่าผมมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง
งั้นขอเกริ่นยาวหน่อยนะครับเดิมทีนั้นตอนจบ ม. หกใหม่ๆ ผมได้ทุนเรียนสาขาการโรงแรมหลักสูตรภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตภูเก็ตซึ่งตอนนั้นที่บ้านก็ดีใจมากแล้วเพราะการโรงแรมที่ภูเก็ตค่อนข้างดัง หางานง่ายและไม่ต้องไปเรียนไกลบ้าน พ่อแม่เขาเป็นห่วงอะไรหลายๆอย่างๆ
เพราะเมื่อก่อนผมเป็นคนที่ขี้อายและขาดความมั่นใจอย่างมากคือกลัวไปหมดทุกอย่าง พ่อแม่เลยคะยั้นคะยอให้เรียนที่ภูเก็ตซึ่งในที่สุดผมก็ทำตามคำแนะนำของท่าน แต่ในใจตอนนั้นอยากเรียนนิติ มธ มากเพราะอยากเป็นนักกฎหมาย แต่เมื่อเรายืนยันโควต้าของภาคใต้ไปแล้วจึงถูกตัดสิทธ์จากการสอบเอนทรานซ์กลาง
ตอนนั้นจำได้ว่าพอผลเอนทรานซ์ประกาศออกมาเสียใจและโกรธตัวเองมากๆที่เราไม่ให้โอกาสตัวเองได้ยื่นคะแนนเพราะถ้ายื่นคงได้เรียนนิติ มธ ดังใจหวังแล้ว หลังจากที่พลาดโอกาสไปแล้วครั้งหนึ่งผมจึงไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นซ้ำสองอีก จึงพยายามหาคณะและสาขาของ มธ ที่ใช้ระบบสอบตรงเพื่อให้ได้ชื่อว่าเข้าเรียน มธ เท่านั้นโดยไม่สนใจว่าจะได้เรียนอะไร ที่ทำอย่างนั้นเพราะแค่ต้องการประชดตัวเองเท่านั้น(อันนี้เป็นตัวอย่างไม่ดีนะครับ)
และบังเอิญว่าปีนั้นเป็นปีแรกที่โครงการรัสเซียศึกษาของ มธ เปิด ผมจึงลองไปสอบดู ปรากฎว่าสอบติด แต่ทางบ้านไม่อนุญาตให้เรียนเพราะเขาบอกว่าจะไปเรียนไกลๆทำไม เรียนที่บ้านนั่นแหละดีแล้ว ส่วนสาขารัสเซียศึกษาจะเรียนไปทำไมจบแล้วจะมีงานทำหรือป่าวก็ไม่รู้
ยังจำได้เลยว่าตอนนั้นที่บ้านเขาใช้ไม้แข็งบอกว่าถ้าจะเรียนด้านนี้เขาก็จะไม่ส่งให้เรียนต้องส่งตัวเองเรียน คือเข้าใจว่าเขารักและเป็นห่วงเราไม่อยากให้ไปไกลๆและฝากอนาคตตัวเองไว้กับสาขาที่แทบไม่มีใครรู้จักเลยแต่ตอนนั้นด้วยความดื้อและทะเยอทะยานก็เลยบอกเขาไปว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวจะหาเงินเรียนเอง แต่ในที่สุดเมื่อได้เรียนที่ มธ จริงๆ พ่อกับแม่เขาก็ส่งให้เรียนจบจบถึงแม้ว่าในช่วงแรกเขาจะไม่สนับสนุนเลยก็ตาม
ตลอดระยะเวลา สามปีครึ่งที่เรียนที่ มธ ทุกอย่างใหม่หมดแต่สำหรับผมมันเป็นเรื่องดีเพราะเราจะได้เริ่มสิ่งใหม่ๆตอนแรกที่เริ่มเรียนนั้นก็แค่อยากเรียนให้แค่ผ่านๆไปเท่านั้นแต่ปรากฎว่ายิ่งเรียนยิ่งชอบชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับรัสเซีย รู้สึกว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่และน่าสนใจมากๆจนในที่สุดก็บอกกับตัวเองเลยว่า เออ สิ่งนี้แหละที่เหมาะกับตัวเราและหามานาน โดยเฉพาะภาษารัสเซียนั้นตอนแรกถือว่ายากมากแต่ก็รู้สึกดีที่ไม่มีใครเก่งกว่าใครเพราะทุกคนเริ่มใหม่พร้อมกัน
เมื่อยิ่งได้เรียนก็ยิ่งชอบ จำได้ว่าตอนนั้นขยันมากเพื่อที่จะลบคำสบประมาทของที่บ้านและพยายามทำให้เขาเห็นว่าจบรัสเซียศึกษาก็มีงานทำและสามารถภูมิใจได้เช่นกัน ความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆเมื่อผลการเรียนเทอมแรกออกมาได้ดีเกินคาด
เมื่อจับทางได้แล้วว่าควรเรียนแบบไหนถึงจะประสบความสำเร็จ หลายสิ่งดีๆจึงเริ่มเข้ามาแบบตั้งตัวไม่ทันโดยช่วงนั้นมีงานและกิจกรรมมากมายที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียเกิดขึ้น ถือได้ว่าเป็นช่วงรัสเซียบูมใหม่ๆเลย นอกจากนี้ยังมีโชคดีอีกอย่างหนึ่งคือจำได้ว่าช่วงนั้นที่เมืองไทยโดยเฉพาะที่ภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวรัสเซียเริ่มมาเที่ยวมากขึ้น
ทางบ้านจึงเริ่มมองรัสเซียในทางที่ดีขึ้นและเห็นอนาคตที่ดีเกี่ยวกับวงการรัสเซียแต่เขาก็ไม่ได้พูดออกมาชัดเจน และทุกอย่างยิ่งชัดขึ้นเมื่อตอนจบปีสามขึ้นปีสี่ ทางอาจารย์เรียกไปคุยว่าทางสมาคมกรีฑาต้องการล่ามภาษารัสเซียโดยทำงานเป็นลูกจ้างประจำซึ่งมีหน้าที่แปลภาษารัสเซียจากผู้ฝึกสอนชาวรัสเซียแก่นักกรีฑาทีมชาติไทยและเมื่อไปสัมภาษณ์ทางผู้ฝึกสอนก็รับเข้าทำงาน
และนั่นก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีเงินเดือนเป็นของตัวเองและภูมิใจที่สุดที่เราสามารถหาเงินส่งตัวเองเรียนได้โดยแทบไม่ต้องรบกวนพ่อแม่เลย เมื่อได้พิสูจน์ให้เขาเห็น ตั้งแต่นั้นมาพ่อแม่ก็เปลี่ยนมุมมองรัสเซียจากหน้ามือเป็นหลังมือ คราวนี้ได้รับการสนับสนุนเต็มที่ประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนและการทำงานระหว่างเรียนยิ่งทำให้ผมสนใจรัสเซียมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเรียนจบจาก มธ ตอนนั้นก็รู้ตัวแล้วว่าภาษาเรายังไม่ดีจึงอยากเรียนต่ออาจารย์ก็บอกว่ามีทุนของรัฐบาลรัสเซียผมก็เลยไปขอทุน
และในที่สุดก็ได้ทุนรัฐบาลรัสเซียซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกความภาคภูมิใจหนึ่งของพ่อแม่เพราะผมเป็นลูกชาวสวนยางจากปักษ์ใต้เมื่อได้ไปเรียนไกลถึงเมืองนอกเมืองนาจึงยิ่งทำให้เขาภูมิใจสุดๆ
ตลอดระยะเวลาที่เรียน ป.ตรีที่ กรุงเทพได้ทำให้ผมเป็นคนแกร่งขึ้นและได้พัฒนาความกล้าของตัวเองมากขึ้นแต่เมื่อได้มาเรียนที่รัสเซียบททดสอบมากมายที่เคยเจอนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เจอที่นี่ บอกตรงๆว่ารัสเซียเป็นสนามทดสอบชีวิตสนามใหญ่ที่มีอะไรเข้ามาให้เราได้ฝึกใช้ทั้งความสามารถและความอดกลั้นตลอดเวลาใครก็ตามที่ได้มาใช้ชีวิตและหาความรู้ที่นี่ท่านจะได้ประสบการณ์ยิ่งใหญ่ในชีวิตเลยทีเดียว ส่วนรายละเอียดของการศึกษาและชิวิตนักศึกษาไทยที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจะเป็นยังไงโปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ
07/07/2010
ก่อนอื่นก็ต้องสวัสดีพี่น้องทุกคนที่สนใจประเทศรัสเซียนะครับและก็ขอขอบคุณน้องภูด้วยที่ให้โอกาสพี่ได้มาแบ่งปันประสบการณ์ ผมชื่อ อดุลย์ กำไลทอง หรือ ดาวุดแต่เพื่อนๆเรียกวุดนะครับบ้านอยู่ภูเก็ต ตอนนี้ก็จบปริญญาโทเป็นมหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คณะรัฐศาสตร์ สาขาการเมืองระหว่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับผมเริ่มรู้จักรัสเซียครั้งแรกก็ตอนอยู่ ม.ปลายเพราะเป็นประเทศหนึ่งที่ต้องเรียนในวิชาสังคมเพื่อสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ในที่สุดก็จับพลัดจับผลูมาเรียนรัสเซียได้โดยแบบไม่ตั้งใจและทุกวันนี้ก็ยังงงอยู่เหมือนกันว่าผมมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง
งั้นขอเกริ่นยาวหน่อยนะครับเดิมทีนั้นตอนจบ ม. หกใหม่ๆ ผมได้ทุนเรียนสาขาการโรงแรมหลักสูตรภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตภูเก็ตซึ่งตอนนั้นที่บ้านก็ดีใจมากแล้วเพราะการโรงแรมที่ภูเก็ตค่อนข้างดัง หางานง่ายและไม่ต้องไปเรียนไกลบ้าน พ่อแม่เขาเป็นห่วงอะไรหลายๆอย่างๆ
เพราะเมื่อก่อนผมเป็นคนที่ขี้อายและขาดความมั่นใจอย่างมากคือกลัวไปหมดทุกอย่าง พ่อแม่เลยคะยั้นคะยอให้เรียนที่ภูเก็ตซึ่งในที่สุดผมก็ทำตามคำแนะนำของท่าน แต่ในใจตอนนั้นอยากเรียนนิติ มธ มากเพราะอยากเป็นนักกฎหมาย แต่เมื่อเรายืนยันโควต้าของภาคใต้ไปแล้วจึงถูกตัดสิทธ์จากการสอบเอนทรานซ์กลาง
ตอนนั้นจำได้ว่าพอผลเอนทรานซ์ประกาศออกมาเสียใจและโกรธตัวเองมากๆที่เราไม่ให้โอกาสตัวเองได้ยื่นคะแนนเพราะถ้ายื่นคงได้เรียนนิติ มธ ดังใจหวังแล้ว หลังจากที่พลาดโอกาสไปแล้วครั้งหนึ่งผมจึงไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นซ้ำสองอีก จึงพยายามหาคณะและสาขาของ มธ ที่ใช้ระบบสอบตรงเพื่อให้ได้ชื่อว่าเข้าเรียน มธ เท่านั้นโดยไม่สนใจว่าจะได้เรียนอะไร ที่ทำอย่างนั้นเพราะแค่ต้องการประชดตัวเองเท่านั้น(อันนี้เป็นตัวอย่างไม่ดีนะครับ)
และบังเอิญว่าปีนั้นเป็นปีแรกที่โครงการรัสเซียศึกษาของ มธ เปิด ผมจึงลองไปสอบดู ปรากฎว่าสอบติด แต่ทางบ้านไม่อนุญาตให้เรียนเพราะเขาบอกว่าจะไปเรียนไกลๆทำไม เรียนที่บ้านนั่นแหละดีแล้ว ส่วนสาขารัสเซียศึกษาจะเรียนไปทำไมจบแล้วจะมีงานทำหรือป่าวก็ไม่รู้
ยังจำได้เลยว่าตอนนั้นที่บ้านเขาใช้ไม้แข็งบอกว่าถ้าจะเรียนด้านนี้เขาก็จะไม่ส่งให้เรียนต้องส่งตัวเองเรียน คือเข้าใจว่าเขารักและเป็นห่วงเราไม่อยากให้ไปไกลๆและฝากอนาคตตัวเองไว้กับสาขาที่แทบไม่มีใครรู้จักเลยแต่ตอนนั้นด้วยความดื้อและทะเยอทะยานก็เลยบอกเขาไปว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวจะหาเงินเรียนเอง แต่ในที่สุดเมื่อได้เรียนที่ มธ จริงๆ พ่อกับแม่เขาก็ส่งให้เรียนจบจบถึงแม้ว่าในช่วงแรกเขาจะไม่สนับสนุนเลยก็ตาม
ตลอดระยะเวลา สามปีครึ่งที่เรียนที่ มธ ทุกอย่างใหม่หมดแต่สำหรับผมมันเป็นเรื่องดีเพราะเราจะได้เริ่มสิ่งใหม่ๆตอนแรกที่เริ่มเรียนนั้นก็แค่อยากเรียนให้แค่ผ่านๆไปเท่านั้นแต่ปรากฎว่ายิ่งเรียนยิ่งชอบชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับรัสเซีย รู้สึกว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่และน่าสนใจมากๆจนในที่สุดก็บอกกับตัวเองเลยว่า เออ สิ่งนี้แหละที่เหมาะกับตัวเราและหามานาน โดยเฉพาะภาษารัสเซียนั้นตอนแรกถือว่ายากมากแต่ก็รู้สึกดีที่ไม่มีใครเก่งกว่าใครเพราะทุกคนเริ่มใหม่พร้อมกัน
เมื่อยิ่งได้เรียนก็ยิ่งชอบ จำได้ว่าตอนนั้นขยันมากเพื่อที่จะลบคำสบประมาทของที่บ้านและพยายามทำให้เขาเห็นว่าจบรัสเซียศึกษาก็มีงานทำและสามารถภูมิใจได้เช่นกัน ความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆเมื่อผลการเรียนเทอมแรกออกมาได้ดีเกินคาด
เมื่อจับทางได้แล้วว่าควรเรียนแบบไหนถึงจะประสบความสำเร็จ หลายสิ่งดีๆจึงเริ่มเข้ามาแบบตั้งตัวไม่ทันโดยช่วงนั้นมีงานและกิจกรรมมากมายที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียเกิดขึ้น ถือได้ว่าเป็นช่วงรัสเซียบูมใหม่ๆเลย นอกจากนี้ยังมีโชคดีอีกอย่างหนึ่งคือจำได้ว่าช่วงนั้นที่เมืองไทยโดยเฉพาะที่ภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวรัสเซียเริ่มมาเที่ยวมากขึ้น
ทางบ้านจึงเริ่มมองรัสเซียในทางที่ดีขึ้นและเห็นอนาคตที่ดีเกี่ยวกับวงการรัสเซียแต่เขาก็ไม่ได้พูดออกมาชัดเจน และทุกอย่างยิ่งชัดขึ้นเมื่อตอนจบปีสามขึ้นปีสี่ ทางอาจารย์เรียกไปคุยว่าทางสมาคมกรีฑาต้องการล่ามภาษารัสเซียโดยทำงานเป็นลูกจ้างประจำซึ่งมีหน้าที่แปลภาษารัสเซียจากผู้ฝึกสอนชาวรัสเซียแก่นักกรีฑาทีมชาติไทยและเมื่อไปสัมภาษณ์ทางผู้ฝึกสอนก็รับเข้าทำงาน
และนั่นก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีเงินเดือนเป็นของตัวเองและภูมิใจที่สุดที่เราสามารถหาเงินส่งตัวเองเรียนได้โดยแทบไม่ต้องรบกวนพ่อแม่เลย เมื่อได้พิสูจน์ให้เขาเห็น ตั้งแต่นั้นมาพ่อแม่ก็เปลี่ยนมุมมองรัสเซียจากหน้ามือเป็นหลังมือ คราวนี้ได้รับการสนับสนุนเต็มที่ประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนและการทำงานระหว่างเรียนยิ่งทำให้ผมสนใจรัสเซียมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเรียนจบจาก มธ ตอนนั้นก็รู้ตัวแล้วว่าภาษาเรายังไม่ดีจึงอยากเรียนต่ออาจารย์ก็บอกว่ามีทุนของรัฐบาลรัสเซียผมก็เลยไปขอทุน
และในที่สุดก็ได้ทุนรัฐบาลรัสเซียซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกความภาคภูมิใจหนึ่งของพ่อแม่เพราะผมเป็นลูกชาวสวนยางจากปักษ์ใต้เมื่อได้ไปเรียนไกลถึงเมืองนอกเมืองนาจึงยิ่งทำให้เขาภูมิใจสุดๆ
ตลอดระยะเวลาที่เรียน ป.ตรีที่ กรุงเทพได้ทำให้ผมเป็นคนแกร่งขึ้นและได้พัฒนาความกล้าของตัวเองมากขึ้นแต่เมื่อได้มาเรียนที่รัสเซียบททดสอบมากมายที่เคยเจอนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เจอที่นี่ บอกตรงๆว่ารัสเซียเป็นสนามทดสอบชีวิตสนามใหญ่ที่มีอะไรเข้ามาให้เราได้ฝึกใช้ทั้งความสามารถและความอดกลั้นตลอดเวลาใครก็ตามที่ได้มาใช้ชีวิตและหาความรู้ที่นี่ท่านจะได้ประสบการณ์ยิ่งใหญ่ในชีวิตเลยทีเดียว ส่วนรายละเอียดของการศึกษาและชิวิตนักศึกษาไทยที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจะเป็นยังไงโปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ
07/07/2010
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น