สัมภาษณ์ทุนรัฐบาลรัสเซียสาขาแพทย์ – เมย์ วาโรเนช
สวัสดีค่ะ เมย์ วัลย์ธิภา จริงจิตร ตอนนี้เรียนแพทย์ ที่วาโรเนช
รู้จักทุนได้ยังไง
แรกเริ่มมาจาก เมย์ชอบและมีความสนใจในการเล่นหมากรุกสากล ในตอนนั้นได้รู้มาว่าแชมป์โลกเกือบทุกคนมาจากประเทศรัสเซีย จึงได้สนใจประเทศนี้และคอยหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศรัสเซียมาโดยตลอด ประกอบกับมีความฝันมาตั้งแต่เด็กๆที่อยากจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ จึงได้อ่านข่าวสารทางด้านวิทยาศาสตร์ของรัสเซีย และพบว่ามีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านจบจากมหาวิทยาลัยในรัสเซีย เช่น เมนเดเลเยฟ ผู้คิดค้นตารางธาตุ
หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จึงเริ่มหาทุนการศึกษาเพื่อไปเรียนต่อที่ประเทศรัสเซีย ในตอนนั้นได้เจอเว็บสอนภาษารัสเซีย จึงโทรไปตามเบอร์โทรศัพท์ในเว็บไซต์ และได้คุยกับรุ่นพี่ที่จบจากประเทศรัสเซีย ได้เว็บไซต์ทุนรัฐบาลรัสเซีย ตอนนั้น พี่พลอย รุ่นพี่จากร.ร.มหิดลวิทยานุสรณ์ ได้ส่งจดหมายมาถึงผอ. ฝากบอกน้องๆเกี่ยวกับทุนรัฐบาลรัสเซีย จึงตัดสินใจสมัครมาเรียนที่รัสเซีย คณะแพทย์ตามอย่างพี่พลอย ในตอนนั้นคิดว่า แม้จะเรียนแพทย์ แต่ก็สามารถเป็นแพทย์วิจัยได้ ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ตามที่ฝันไว้
เรียนภาษาที่ รอสตอฟ
ครั้งแรกที่เดินทางออกจากประเทศไทย ยังรู้สึกเหมือนกับไปเที่ยว เพราะมีคนไทยไปด้วยกัน 4 คน แต่เมื่อเครื่องบินลงจอดที่รอสตอฟ ก็วุ่นวายพอสมควร เนื่องจากพนักงานที่สนามบิน ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษเลย หลังจากนั้น รถแท็กซี่ของทางมหาวิทยาลัยก็มารับไปที่หอพัก
เห็นหอพักครั้งแรกก็ยังรู้สึกงงๆ เพราะตึกค่อนข้างเก่าและชำรุด เมื่อเข้าไปภายในก็สภาพเดียวกัน ยังจำได้ว่า วันแรกที่ไปร้องไห้จะกลับบ้าน เพราะหอพักแย่มาก และในวันนั้น ได้เจอคนแอฟริกันข้างห้องทำให้รู้สึกกลัวมาก แต่ผ่านมาไม่นาน ก็ปรับตัวได้กับหอพัก มีรูมเมทมาจากมองโกเลีย เค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราเองก็พูดรัสเซียไม่ได้ แต่พวกเราก็สนิทกัน รวมทั้งคนมองโกเลียคนอื่นๆก็นิสัยดีมาก คอยช่วยเหลือพวกเราเรื่องเอกสารเข้ามหาลัย หอพัก การตรวจสุขภาพ จนพวกเราคนไทยทำเอกสารทุกอย่างเสร็จสิ้น หลังจากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์ เราก็ได้เข้าเรียนภาษารัสเซีย อ.ที่สอนภาษาใจดีมาก ถึงแม้จะขี้บ่น แต่ก็รับรู้ได้ว่าท่านหวังดี อยากให้พวกเราเข้าใจภาษาได้เร็ว เพื่อนๆในห้องก็มีคนไทย 4 คน คนแอฟริกัน 4 คน เมื่อได้มาเรียนร่วมกับคนแอฟริกันจึงรู้ว่าพวกเค้าก็เป็นคนดี
ผ่านมาหนึ่งเดือน พวกเราก็เริ่มคุ้นเคยกับชีวิตความเป็นอยู่ที่นี่มากขึ้น มีเพื่อนมาจากหลายเชื้อชาติ เช่น เติร์กเมนิสถาน เชชเนีย อินโดนีเซีย เวียดนาม เวลาแต่ละวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตื่นเช้ามาก็ไปเรียน เลิกเรียนตอนบ่ายๆก็ไปซื้อของมาทำอาหาร พวกเราคนไทยทำอาหารกินด้วยกัน หลังจากนั้นก็ทำการบ้าน อ่านหนังสือ ก็จะมีวันเสาร์ที่เราเลิกเรียนครึ่งวัน ก็จะไปเที่ยวกัน ไปเดินเที่ยวเล่นในห้าง ผ่านไปพวกเราก็เริ่มเรียนฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลข ประวัติศาสตร์ ตอนแรกก็ยากเพราะภาษายังไม่ค่อยแข็งแรง ผ่านไปสักพักก็ปรับตัวได้ เริ่มเข้าใจในบทเรียน การเรียนวิชาเหล่านี้ เราเรียนรวมกันสองกลุ่ม เป็น 16 คน อีกครึ่งห้องที่เหลือเป็นคนอาหรับ ทำให้ห้องเรียนของพวกเราครึกครื้นตลอดเวลา
ในที่สุดก็ถึงเวลาสอบปลายภาคของเทอมแรก ซึ่งสอบเพียงวิชาเดียว คือ ภาษารัสเซีย เป็นการสอบข้อเขียนทางด้านไวยากรณ์ และสอบพูด หลังจากสอบเสร็จก็ปิดเทอมเพียงแค่สามวัน ก็เปิดเทอมสอง พวกเราเริ่มเรียนคาบเลคเชอร์ ในตอนแรกๆก็จดอะไรแทบจะไม่ได้เลย หลังจากนั้นก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเวลาสอบปลายภาคเทอมสอง วิชาที่สอบก็คือ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ภาษารัสเซีย ส่วนเลขมีแต่การสอบย่อย
สรุปการใช้ชีวิตที่รอสตอฟ เป็นเวลา 1 ปี เป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่ามาก ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ทั้งเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น การรู้จักปล่อยวาง ทำให้จากการที่เป็นเด็กมัธยมปลายคนนึงเริ่มมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาในบางเรื่อง รู้จักมองโลกในหลายๆแง่มุม
เริ่มเรียนปี 1 ที่วาโรเนช
ตอนแรกที่ได้รู้ว่าต้องไปเรียนที่วาโรเนช รู้สึกกลัวมาก เพราะได้ยินมาว่าเป็นเมืองที่อันตราย มีกลุ่มสกินเฮดที่ทำร้ายคนต่างชาติเยอะ ประกอบกับเป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่ไปที่นั่น โดยมีคนแอฟริกันผู้ชายอีก 3 คนไปด้วยกันจากรอสตอฟ ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เมื่อเดินทางไปถึงที่วาโรเนช ก็มีพี่คนไทยมาคอยช่วยเหลือ พาไปส่งที่หอพัก ตอนแรกที่ไปยังปรับตัวไม่ค่อยได้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทุกอย่างก็ดีขึ้น แม้ว่าในมหาลัยและหอพัก เมย์จะเป็นเพียงคนไทยคนเดียว แต่ก็ไม่รู้สึกเหงา เพราะมีเพื่อนหลายคน ต่างเชื้อชาติ ที่หอ ตอนเมย์ไปแรกๆ ก็มีคนกัมพูชามาคุยด้วย เค้าบอกว่าเห็นเราเป็นคนไทยคนเดียว เค้าจึงกลัวเรารู้สึกเหงา จึงพยายามมาคุยด้วยภาษาไทยที่พวกเค้าพอจะพูดได้น้อยนิด แต่ก็ทำให้เรารู้สึกดี มีกำลังใจ
ส่วนในห้องเรียน มีทั้งหมด 9 คน 8 คนที่เหลือเป็นคนแอฟริกัน แต่พวกเค้าก็ดี ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ การเรียนที่นี่ ในตอนแรกๆ ยากมาก เพราะการเรียนทุกครั้ง อาจารย์จะบอกให้แต่ละคนออกไปหน้าห้องและถาม ช่วงแรกๆ เมย์ก็ตอบไม่ได้เลย เพราะรู้สึกตื่นเต้นและเกร็งมาก เพื่อนๆจึงช่วยกัน ถาม ตอบ อยู่บ่อยๆ ทำให้เราไม่รู้สึกเกร็งเวลาตอบคำถาม การเรียนจึงดีขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ ตอบได้ว่า รู้สึกโอเคกับการเรียนที่นี่ ผลการสอบก็ผ่านไปแล้ว ก็ทำได้ดี ก็จะพยายามต่อไปค่ะ ส่วนเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ บอกได้เลยว่าไม่อันตรายเลยค่ะ แต่เราก็ต้องอยู่ในขอบเขต ไม่ออกไปไหนมืดค่ำ ไม่ไปในสถานที่ที่อันตราย ผู้คนที่นี่ก็อัธยาศัยดี แต่หากใครมาแล้วพบว่าคนพูดจาไม่ดี ก็มีเป็นบางครั้งค่ะ คนเราก็เหมือนกันทุกคนไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหน ก็ต้องมีทั้งคนดี คนไม่ดี บางครั้งคนเราอารมณ์หงุดหงิดก็พูดจาไม่น่าฟัง แต่โดยรวมแล้ว ที่อยู่มา 1 ปี ก็คิดว่าดีแล้วค่ะ ไม่อยากย้ายไปไหนแล้ว อยู่ต่ออีก 5 ปี สบายมาก ^ ^
อยากฝากอะไรไว้กับคนที่อยากมา
อยากบอกว่าคุ้มค่ามากที่มาค่ะ ถึงเราจะเจอเรื่องดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่ก็เหมือนกันทุกที่ค่ะ ไม่ว่าเราจะอยู่ไหน ต่างประเทศหรือประเทศไทย แต่การที่เรามาอยู่คนเดียวต่างบ้านต่างเมือง ทำให้เราได้อะไรมากกว่าปริญญาหนึ่งใบ แต่เราจะได้รู้จักการใช้ชีวิตมากขึ้น รู้จักแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้
03/08/2010
รู้จักทุนได้ยังไง
แรกเริ่มมาจาก เมย์ชอบและมีความสนใจในการเล่นหมากรุกสากล ในตอนนั้นได้รู้มาว่าแชมป์โลกเกือบทุกคนมาจากประเทศรัสเซีย จึงได้สนใจประเทศนี้และคอยหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศรัสเซียมาโดยตลอด ประกอบกับมีความฝันมาตั้งแต่เด็กๆที่อยากจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ จึงได้อ่านข่าวสารทางด้านวิทยาศาสตร์ของรัสเซีย และพบว่ามีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านจบจากมหาวิทยาลัยในรัสเซีย เช่น เมนเดเลเยฟ ผู้คิดค้นตารางธาตุ
หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จึงเริ่มหาทุนการศึกษาเพื่อไปเรียนต่อที่ประเทศรัสเซีย ในตอนนั้นได้เจอเว็บสอนภาษารัสเซีย จึงโทรไปตามเบอร์โทรศัพท์ในเว็บไซต์ และได้คุยกับรุ่นพี่ที่จบจากประเทศรัสเซีย ได้เว็บไซต์ทุนรัฐบาลรัสเซีย ตอนนั้น พี่พลอย รุ่นพี่จากร.ร.มหิดลวิทยานุสรณ์ ได้ส่งจดหมายมาถึงผอ. ฝากบอกน้องๆเกี่ยวกับทุนรัฐบาลรัสเซีย จึงตัดสินใจสมัครมาเรียนที่รัสเซีย คณะแพทย์ตามอย่างพี่พลอย ในตอนนั้นคิดว่า แม้จะเรียนแพทย์ แต่ก็สามารถเป็นแพทย์วิจัยได้ ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ตามที่ฝันไว้
เรียนภาษาที่ รอสตอฟ
ครั้งแรกที่เดินทางออกจากประเทศไทย ยังรู้สึกเหมือนกับไปเที่ยว เพราะมีคนไทยไปด้วยกัน 4 คน แต่เมื่อเครื่องบินลงจอดที่รอสตอฟ ก็วุ่นวายพอสมควร เนื่องจากพนักงานที่สนามบิน ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษเลย หลังจากนั้น รถแท็กซี่ของทางมหาวิทยาลัยก็มารับไปที่หอพัก
เห็นหอพักครั้งแรกก็ยังรู้สึกงงๆ เพราะตึกค่อนข้างเก่าและชำรุด เมื่อเข้าไปภายในก็สภาพเดียวกัน ยังจำได้ว่า วันแรกที่ไปร้องไห้จะกลับบ้าน เพราะหอพักแย่มาก และในวันนั้น ได้เจอคนแอฟริกันข้างห้องทำให้รู้สึกกลัวมาก แต่ผ่านมาไม่นาน ก็ปรับตัวได้กับหอพัก มีรูมเมทมาจากมองโกเลีย เค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราเองก็พูดรัสเซียไม่ได้ แต่พวกเราก็สนิทกัน รวมทั้งคนมองโกเลียคนอื่นๆก็นิสัยดีมาก คอยช่วยเหลือพวกเราเรื่องเอกสารเข้ามหาลัย หอพัก การตรวจสุขภาพ จนพวกเราคนไทยทำเอกสารทุกอย่างเสร็จสิ้น หลังจากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์ เราก็ได้เข้าเรียนภาษารัสเซีย อ.ที่สอนภาษาใจดีมาก ถึงแม้จะขี้บ่น แต่ก็รับรู้ได้ว่าท่านหวังดี อยากให้พวกเราเข้าใจภาษาได้เร็ว เพื่อนๆในห้องก็มีคนไทย 4 คน คนแอฟริกัน 4 คน เมื่อได้มาเรียนร่วมกับคนแอฟริกันจึงรู้ว่าพวกเค้าก็เป็นคนดี
ผ่านมาหนึ่งเดือน พวกเราก็เริ่มคุ้นเคยกับชีวิตความเป็นอยู่ที่นี่มากขึ้น มีเพื่อนมาจากหลายเชื้อชาติ เช่น เติร์กเมนิสถาน เชชเนีย อินโดนีเซีย เวียดนาม เวลาแต่ละวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตื่นเช้ามาก็ไปเรียน เลิกเรียนตอนบ่ายๆก็ไปซื้อของมาทำอาหาร พวกเราคนไทยทำอาหารกินด้วยกัน หลังจากนั้นก็ทำการบ้าน อ่านหนังสือ ก็จะมีวันเสาร์ที่เราเลิกเรียนครึ่งวัน ก็จะไปเที่ยวกัน ไปเดินเที่ยวเล่นในห้าง ผ่านไปพวกเราก็เริ่มเรียนฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลข ประวัติศาสตร์ ตอนแรกก็ยากเพราะภาษายังไม่ค่อยแข็งแรง ผ่านไปสักพักก็ปรับตัวได้ เริ่มเข้าใจในบทเรียน การเรียนวิชาเหล่านี้ เราเรียนรวมกันสองกลุ่ม เป็น 16 คน อีกครึ่งห้องที่เหลือเป็นคนอาหรับ ทำให้ห้องเรียนของพวกเราครึกครื้นตลอดเวลา
source:pixabay
ในที่สุดก็ถึงเวลาสอบปลายภาคของเทอมแรก ซึ่งสอบเพียงวิชาเดียว คือ ภาษารัสเซีย เป็นการสอบข้อเขียนทางด้านไวยากรณ์ และสอบพูด หลังจากสอบเสร็จก็ปิดเทอมเพียงแค่สามวัน ก็เปิดเทอมสอง พวกเราเริ่มเรียนคาบเลคเชอร์ ในตอนแรกๆก็จดอะไรแทบจะไม่ได้เลย หลังจากนั้นก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเวลาสอบปลายภาคเทอมสอง วิชาที่สอบก็คือ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ภาษารัสเซีย ส่วนเลขมีแต่การสอบย่อย
สรุปการใช้ชีวิตที่รอสตอฟ เป็นเวลา 1 ปี เป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่ามาก ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ทั้งเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น การรู้จักปล่อยวาง ทำให้จากการที่เป็นเด็กมัธยมปลายคนนึงเริ่มมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาในบางเรื่อง รู้จักมองโลกในหลายๆแง่มุม
เริ่มเรียนปี 1 ที่วาโรเนช
ตอนแรกที่ได้รู้ว่าต้องไปเรียนที่วาโรเนช รู้สึกกลัวมาก เพราะได้ยินมาว่าเป็นเมืองที่อันตราย มีกลุ่มสกินเฮดที่ทำร้ายคนต่างชาติเยอะ ประกอบกับเป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่ไปที่นั่น โดยมีคนแอฟริกันผู้ชายอีก 3 คนไปด้วยกันจากรอสตอฟ ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เมื่อเดินทางไปถึงที่วาโรเนช ก็มีพี่คนไทยมาคอยช่วยเหลือ พาไปส่งที่หอพัก ตอนแรกที่ไปยังปรับตัวไม่ค่อยได้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทุกอย่างก็ดีขึ้น แม้ว่าในมหาลัยและหอพัก เมย์จะเป็นเพียงคนไทยคนเดียว แต่ก็ไม่รู้สึกเหงา เพราะมีเพื่อนหลายคน ต่างเชื้อชาติ ที่หอ ตอนเมย์ไปแรกๆ ก็มีคนกัมพูชามาคุยด้วย เค้าบอกว่าเห็นเราเป็นคนไทยคนเดียว เค้าจึงกลัวเรารู้สึกเหงา จึงพยายามมาคุยด้วยภาษาไทยที่พวกเค้าพอจะพูดได้น้อยนิด แต่ก็ทำให้เรารู้สึกดี มีกำลังใจ
ส่วนในห้องเรียน มีทั้งหมด 9 คน 8 คนที่เหลือเป็นคนแอฟริกัน แต่พวกเค้าก็ดี ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ การเรียนที่นี่ ในตอนแรกๆ ยากมาก เพราะการเรียนทุกครั้ง อาจารย์จะบอกให้แต่ละคนออกไปหน้าห้องและถาม ช่วงแรกๆ เมย์ก็ตอบไม่ได้เลย เพราะรู้สึกตื่นเต้นและเกร็งมาก เพื่อนๆจึงช่วยกัน ถาม ตอบ อยู่บ่อยๆ ทำให้เราไม่รู้สึกเกร็งเวลาตอบคำถาม การเรียนจึงดีขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ ตอบได้ว่า รู้สึกโอเคกับการเรียนที่นี่ ผลการสอบก็ผ่านไปแล้ว ก็ทำได้ดี ก็จะพยายามต่อไปค่ะ ส่วนเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ บอกได้เลยว่าไม่อันตรายเลยค่ะ แต่เราก็ต้องอยู่ในขอบเขต ไม่ออกไปไหนมืดค่ำ ไม่ไปในสถานที่ที่อันตราย ผู้คนที่นี่ก็อัธยาศัยดี แต่หากใครมาแล้วพบว่าคนพูดจาไม่ดี ก็มีเป็นบางครั้งค่ะ คนเราก็เหมือนกันทุกคนไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหน ก็ต้องมีทั้งคนดี คนไม่ดี บางครั้งคนเราอารมณ์หงุดหงิดก็พูดจาไม่น่าฟัง แต่โดยรวมแล้ว ที่อยู่มา 1 ปี ก็คิดว่าดีแล้วค่ะ ไม่อยากย้ายไปไหนแล้ว อยู่ต่ออีก 5 ปี สบายมาก ^ ^
อยากฝากอะไรไว้กับคนที่อยากมา
อยากบอกว่าคุ้มค่ามากที่มาค่ะ ถึงเราจะเจอเรื่องดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่ก็เหมือนกันทุกที่ค่ะ ไม่ว่าเราจะอยู่ไหน ต่างประเทศหรือประเทศไทย แต่การที่เรามาอยู่คนเดียวต่างบ้านต่างเมือง ทำให้เราได้อะไรมากกว่าปริญญาหนึ่งใบ แต่เราจะได้รู้จักการใช้ชีวิตมากขึ้น รู้จักแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้
03/08/2010
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น